ขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดียิ่ง
 “ลงพื้นที่อย่างไร ได้ใจชุมชน ยิ่งมองยิ่งค้น ชุมชนทำได้” 
โดย นางสุขสิน เอกา 
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านสำโรงโคกเพชร 
ตำบลท่าสว่าง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์


          หลังจากที่ดิฉันได้ไปอบรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้รอบที่สองมา ฉันไม่คิดว่าจะได้มาเล่าเรื่องที่ดีๆในการเยี่ยมบ้านให้เพื่อนๆได้ฟังกัน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพของฉันมีเจ้าหน้าที่อยู่ห้าคน หนึ่งในนั้นมีพยาบาลวิชาชีพก็คือฉัน ช่วงหลังๆมาดิฉันมีบทบาทในการทำชุมชนให้เข้มแข็งด้วยการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนให้มาทำกิจกรรมโครงการตามที่ส่วนบนสั่งลงมา แต่ว่าทำให้สามารถบูรณาการงานผู้สูงอายุ งานหลอดเลือดและงานอื่นๆเข้ามาอยู่ด้วยกันได้อย่างลงตัว ผลงานเป็นที่ประจักษ์ ก็ได้ให้ไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้อยู่บ่อยๆอีกทั้งได้รับโอกาสจากสสส.ให้เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพทีมสุขภาพขององค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งจะมีการอบรมระยะสั้นเป็นช่วงๆ อีกทั้งงานจรอื่นๆตามแต่งานทั้งกระทรวงจะส่งลงมา งานการรักษาดิฉันก็จะพยายามดูแลในช่วงวันคลินิกเบาหวาน งานวัคซีนส่วนงานเยี่ยมบ้านโชคดีที่มีนักศึกษาพยาบาลเวชปฏิบัติเข้ามาฝึกอบรมก็จะมีการบริหารจัดการแบ่งบทบาทน้องและเลือกกรณีศึกษาให้ จึงมีผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนขึ้น

           เช้าวันจันทร์ที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔ ประมาณ ๑๐ โมงเช้า มีญาติผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อายุ ๗๔ ปี ซึ่งขาดยาประมาณ ๘ เดือนจากคลินิกของสถานบริการเองเนื่องจากปฏิเสธการรักษาทั้งผู้ป่วยและภรรยา (เป็นทั้ง ๒ คน ทั้งยังมีพฤติกรรมดื่มสุราทุกวัน )ป่วยเป็นโรคทางหลอดเลือดสมองเมื่อสัปดาห์ก่อน ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์กลับมา ๓ วัน ทีมสุขภาพ(หัวหน้า) ได้ไปเยี่ยมกับนักศึกษาเวชปฏิบัติ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็พบว่าอาการดี ญาติมาให้เจ้าหน้าที่ไปถอดสายยางที่ให้อาหารทางจมูกเพราะคนแก่ในบ้านบอกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยไม่มีความสุข ดิฉันก็พูดคุยบอกไปว่าเราจำเป็นต้องให้สารอาหารให้ผู้ป่วยเพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงในการต่อสู้กับโรคถ้าจะหมดลมหายใจก็รอถอดสายยางในช่วงนั้นแล้วกัน หลานผู้ป่วยก็เข้าใจ เดี๋ยวจะไปดูให้ ส่วนหัวหน้าก็ได้พูดคุยกับดิฉันว่าสงสัยคงจะไม่มีใครดูใครเพราะเมียก็มีแต่เมา หลานก็มาด่ายายว่ามีแต่เมาแทนที่จะช่วยดูตาวันนั้นทะเลาะกันต่อหน้าฉันและผู้ป่วย ขณะเดียวกันก็มีอสม.หมู่หนองบัวมาที่ทำงานแล้วบอกว่าตา….คนไข้โรคหลอดเลือดที่หมอเคยไปเยี่ยม บอกให้หมอไปเปลี่ยนสายยางทางจมูกให้และขอน้ำยาทำแผลและของใช้อื่นๆในการดูแลผู้ป่วยด้วย (ผู้ป่วยนี้เป็นโรคหลอดเลือดทางสมองมาประมาณ ๔ เดือน มีภรรยาอายุมากกว่า ๗๐ ปีดูแลเป็นส่วนใหญ่) ฉันจึงต้องจัดเตรียมของให้กับอสม.ที่มาส่งข่าวพร้อมกับจัดกระเป๋าเยี่ยมบ้าน ต้องชั่งใจแล้วล่ะว่าจะเยี่ยมใครก่อนหลัง ต้องเยี่ยมคนแรกก่อนเพราะเราไม่เคยพบผู้ป่วยรายนี้หลังออกจากโรงพยาบาล เมื่อฉันจัดเตรียมของที่จะออกเยี่ยมบ้านแล้ว พี่หัวหน้าก็ขอออกไปด้วย เมื่อเราไปถึงบ้านผู้ป่วยซึ่งอยู่ห่างจากสถานบริการประมาณ๑ กิโลเมตร เราก็พบภาพที่โกลาหลพอสมควร คือมีชาวบ้านมานั่งอยู่รอบๆตัวบ้านประมาณ ๒๐ คน ส่วนรอบๆตัวผู้ป่วยก็มีประมาณ ๑๐ คน ภรรยาก็ส่งเสียงร้องไห้ดังพอสมควรพร้อมกับสภาพที่เมาด้วย 
           
ภาพที่เราเห็นคือผู้ป่วยมีอาการหายใจลำบาก หอบลึก สีหน้ามีความวิตกกังวล รอบๆที่นอนจะมีดอกไม้ ธูปเทียน วางไว้หลายชุดมาก คาดว่าญาติจะมีการนำทางชีวิตและขอขมานานแล้วแต่ผู้ป่วยไม่หมดลมหายใจสักที ญาติเปิดทางให้ดิฉันเข้าไปดูแลผู้ป่วย แต่เสียงรอบๆตัวของฉันอื้ออึงไปหมด ไม่รู้ว่าใครพูดอะไรบ้าง จับใจความว่าคำพูดไม่ค่อยดี ฉันกลัวว่าตาคงได้ยินหมดทุกคำ ฉันจึงขอร้องญาติๆว่าจะพูดอะไรก็ให้เก็บๆกันไว้ก่อนและอย่าพูดเสียงดังข้ามผู้ป่วยไปๆมาๆเพราะตายังได้ยินทุกอย่าง ทุกคนก็ให้ความร่วมมือ ตาก็ยังหายใจอย่างทรมาน ดิฉันให้หลานได้เช็ดปากให้เพราะกลิ่นลมหายใจของตามีกลิ่นมากๆดูแล้วญาติน่าจะดูแลในช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยดี พูดคุยว่าจะให้การพยาบาลอะไรกับผู้ป่วยและญาติคือวัดสัญญาณชีพและถอดสายยางทางจมูกให้ ความดันโลหิต ๔๐/๐ มิลลิเมตรปรอท ชีพจร ๘๒ ครั้ง หายใจ ๑๒ ครั้ง มองออกแล้วล่ะว่าคงอีกไม่นาน แต่ตาก็ยังมีอาการหายใจลำบากตลอดเวลา ขณะที่กำลังถอดสายยางก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นดิฉันก็ไม่เสียเวลารับยังคงให้บริการต่อไปและพูดคุยในเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับตัวผู้ป่วย ขณะที่ให้การพยาบาลอยู่นั้นผู้ป่วยก็มีน้ำตาไหลซึมออกมาทั้ง ๒ ข้าง จึงให้ญาติช่วยซับน้ำตาให้ แล้วทำความสะอาดในช่องจมูกให้อีกครั้ง พูดคุยกับตาพร้อมกับสัมผัสบริเวณหน้าอก ค่อยๆกระซิบว่าถ้าตาเหนื่อยมามากแล้ว ตาอยากจะนอนก็ค่อยๆหลับตาลง ไม่ต้องห่วงคนข้างหลังเพราะแต่ละคนก็มีหน้าที่ที่จะดำเนินชีวิตต่อไป ลูกหลานเขาก็คงไม่ทอดทิ้งยายหรอก ช่วงที่ฉันพูดกับตานั้นพบว่าอาการที่ตาหายใจหอบลึกนั้นค่อยๆผ่อนคลายลงเหมือนกับคนที่ค่อยๆจะเคลิ้มหลับ ฉันเฝ้ามองไม่ถึงนาที ฉันปิดตาและบอกว่าตาเสียเวลา ๑๐ โมง ๔๗ นาที จึงบอกหลานว่าให้ค่อยๆปิดปากของตา ลูกหลานก็เริ่มร้องไห้และพูดว่า “หมอจิ๋มพูดแป๊บเดียวเอง ตาไม่เห็นทรมาน” ฉันจึงเปิดโอกาสให้ลูกหลานเข้าไปคารวะศพ แต่เมื่อขยับออกมาพี่หัวหน้าก็บอกว่าไปดูข้างหลังบ้านตา มีผู้ป่วยโรคหัวใจ ไต จิตเวช ตอนนี้บวมมาก ไปดูกัน โทรศัพท์ที่โทรมาก็ไม่รู้ว่าใครมีธุรอะไร ไปดูคนใหม่ก่อนแล้วกัน ญาติก็ถามว่าตาหลงหมดแล้วหรือเลยพยักหน้าให้เพราะไม่อยากให้ผู้ป่วย(พี่คาย) รู้สึกแย่ พี่คายบวมทั้งหน้าและขา การจัดท่าให้นอนก็ผิด ซักถามยาเมื่อเช้าก็ไม่ได้ทานเพราะไม่ได้กินข้าว ยาขับปัสสาวะก็ไม่ได้โดยปริยาย อาหารการกินก้จัดให้ตามีตามเกิด ก็ต้องมาให้ความรู้พร้อมกับอาสาสมัครรุ่นใหม่ที่มีจิตอาสาอยากร่วมดูแล ก็เลยใช้บ้านเป็นวอร์ดในการดูแลจริงๆที่สำคัญคือญาติ จิตอาสาที่มีร่วมด้วยช่วยกัน เลยให้แพทย์แผนไทยช่วยในการจัดท่า และช่วยออกกำลังกายให้ขาลดบวมร่วมกับการใช้ยา ขณะให้การพยาบาลก็ได้รับสารจากอสม. ว่ามียายปินเป็นเบาหวานรับยาโรงพยาบาลเมื่อวานมีอาการเวียนหน้า ลูกพาไปหาหมอไม่ได้นอน หัวหน้าจึงชวนไปดูต่อ ขณะเดินออกมาก็พบว่าชาวบ้านที่มาดูตาหลงช่วยกันคนละไม้ละมือและจัดเต็นท์ ได้เห็นภาพความมีน้ำใจของชาวบ้านแล้วฉันรู้สึกชื่นชม อยากให้คนไทยรักกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สังคมบ้านเราคงเป็นสังคมที่มีความสุข ฉันซ้อนมอเตอร์ไซด์พี่หัวหน้าเดินทางไปดูคนไข้อีกรายห่างจากบ้านตาหลงประมาณ ๓๐๐เมตร พบหญิงชราท่าทางอ่อนเพลีย มีชาวบ้านประมาณ ๑๐ คน ร่วมเป็นเพื่อนพูดคุยและต่ออายุ เห็นภาชนะใส่ของที่ใช้ประกอบพิธีกรรมอยู่มากมาย ฉันเข้าไปพูดคุยกับคุณยายซึ่งนอนราบกับพื้น มีเพียงเสื่อเก่าๆ และผ้าห่มนวมปูรองนอน พูดคุยโต้ตอบกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องกันอาจเป็นภาษาที่ใช้ หรือสภาพคุณยายที่อาการไม่ค่อยจะดีอันเกิดจากภาวะความผิดปกติของร่างกายพยาธิสภาพของโรค คล้ายกับมีอาการระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำในผู้ป่วยเบาหวาน หรือที่พวกเราเรียก Hyperglycemia ฉันเลยให้พี่หัวหน้ากลับมาเตรียมเครื่องเจาะน้ำตาล ๐.๙ % NSS และ Glucose จริงอย่างที่คาดไว้ เจาะน้ำตาลได้ ๔๒ มิลลิกรัมเปอร์เดซิลิตร เลยให้การพยาบาลด้วยการเปิดเส้นและให้กลูโคส เจาะหาน้ำตาลหลังให้ได้ ๔๐๙ มิลลิกรัมเปอร์เดซิลิตร กว่าจะเยี่ยมบ้านเสร็จปาเข้าไปเที่ยงกว่า ต้องกลับไปบันทึกแฟ้มและฝากให้น้องเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้ออกไปเยี่ยมบ้านร่วมให้ไปสังเกตหลังให้การพยาบาล ๒ ชั่วโมง ด้วยการไปดูแลเจาะน้ำตาลให้อีกครั้งพร้อมสังเกตการเปลี่ยนแปลง เพราะตอนบ่ายต้องไปดูแลใส่สายยางทางจมูกให้กับผู้ป่วยสูงอายุอีกหมู่บ้านพร้อมกับมีประชุมในช่วงบ่ายโมงที่วิทยาลัยพยาบาล หลังจากที่น้องไปเยี่ยมอีก ๒ ชั่วโมงพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเหลือ ๖๙ มิลลิกรัมเปอร์เดซิลิตรจึงได้เขียนใบส่งตัวเรียกกู้ชีพส่งโรงพยาบาลศูนย์สุรินทร์ ได้รับการนอนโรงพยาบาล ส่วนผู้ป่วยสูงอายุรายสุดท้ายที่ไปเยี่ยมบ้านก่อนการประชุมนั้นเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดทางสมองที่เคยไปเยี่ยมบ้านพร้อมกับนักศึกษาเวชปฏิบัติ ได้ให้ญาติยืมเตียง Fowler ของสถานบริการไปใช้ที่บ้านเมื่อ ๑ เดือนที่ผ่านมาพบว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ญาติสะดวกดูแลในการพลิกตะแคงตัวและให้อาหารทางสายยาง แต่เยี่ยมผู้ป่วยรายนี้ได้เพียงแต่ให้การพยาบาลใส่สายอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถที่จะให้การพยาบาลได้ดีเท่า ๓ รายแรกเพราะเงื่อนไขเวลา จึงส่งต่อให้อาสาสมัครสาธารณสุขช่วยเยี่ยมเยียนอย่างสม่ำเสมอ เมื่อมีปัญหาใดสามารถส่งข่าวมาที่สถานบริการได้

จากการเยี่ยมบ้านในวันนี้พบว่าบางครั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ถ้าปฏิเสธการเยี่ยมบ้านในกรณีแรกหรือไปให้บริการรายเก่าก่อน ก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นผู้ป่วยอีก ๒ ราย การลงเยี่ยมในพื้นที่จริง ชุมชนจะเป็นคนส่งข่าวหรือเล่าสู่กันฟังสดๆของสุขภาพคนในพื้นที่ที่มีปัญหาในช่วงระยะที่เจ็บป่วยเกินขีดความสามารถของชุมชน ณ บ้านผู้ป่วยขณะที่เยี่ยมบ้าน โดยที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขวางแผนเยี่ยมเฉพาะคนที่ตามเยี่ยมเพียงรายเดียวเท่านั้น ในวันนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจึงได้ไปอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวที่พร้อมจะให้คำปรึกษาหรือรักษาตามศักยภาพที่มี อีกทั้งมองในมิติจิตวิญญาณความเป็นองค์รวม ให้ผู้ป่วย,ครอบครัวเลือกบริการสุขภาพที่เขาควรจะได้รับ มองด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ ส่งต่อได้ทันเวลาเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งมีการส่งต่อผู้ป่วยให้กับทีมสหวิชาชีพ ในสถานบริการเดียวกัน ส่งเสริมศักยภาพของบุคคล ครอบครัว จิตอาสาในการดูแลผู้ป่วยเรื้อรังในชุมชนได้อย่างมีคุณภาพตามสิทธิพื้นฐานที่พวกเขาเหล่านั้นควรจะได้รับ

ขอบคุณเนื้อหาจาก : http://hph.moph.go.th/