Common Cold / Upper Respiratory Tract Infection
พบได้บ่อยที่สุดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ บางคนอาจจะเป็นปีละหลาย ๆ ครั้ง (โดยเฉพาะเด็กเล็กและเด็กวัยเรียนในปีแรก ๆ อาจเฉลี่ยเป็นประมาณเดือนละครั้ง) ทำให้ต้องสูญเสียแรงงาน เวลาเรียน และสิ้นเปลืองค่ารักษาไปทีละมาก ๆ ได้
ไข้หวัด
ไข้หวัด

เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายจะมีภูมิต้านทานตอเชื้อหวัดชนิดต่าง ๆ ได้มากขึ้นเช่นกัน เราจึงมักป่วยเป็นไข้หวัดห่างขึ้นและมีอาการรุนแรงน้อยลง ไข้หวัดสามารถติดต่อกันได้ง่ายโดยการอยู่ใกล้ชิดกัน จึงพบว่าเป็นกันมากตามโรงเรียน โรงงาน และที่ ๆ มีผู้คนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มจำนวนมาก ๆ
พบโรคนี้ได้ตลอดทั้งปี มักพบบ่อยในช่วงฤดูฝน ฤดูหนาว หรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง พบได้น้อยในช่วงฤดูร้อน
สาเหตุของไข้หวัด
โรคหวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสของทางเดินหายใจส่วนบน ไวรัสที่พบมากที่สุด คือ ไรโนไวรัส (30-80%) ซึ่งเป็นพิคอร์นาไวรัสที่มีเซโรไทป์รู้จักกัน 99 ชนิด ไวรัสชนิดอื่นมี โคโรนาไวรัส (10-15%) ฮิวแมนพาราอินฟลูเอ็นซาไวรัส ไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล อะดีโนไวรัส เอนเทอโรไวรัส และเมตะนิวโมไวรัส บ่อยครั้งที่ไวรัสมากกว่าหนึ่งชนิดก่อให้เกิดโรค รวมทั้งสิ้นแล้ว มีไวรัสกว่า 200 ชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรคหวัด
เชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย ติดต่อกันโดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน
นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อกันโดยการสัมผัสมือ คือ เชื้อหวัดอาจจะติดที่มือของผู้ป่วยซึ่งสัมผัสถูกมือของคนอื่นเชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตา หรือแคะจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่ายกายของคนๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้
ระยะฟักตัว
ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น 1 - 3 วัน
นอกจากนี้ เชื้อหวัดยังอาจติดต่อกันโดยการสัมผัสมือ คือ เชื้อหวัดอาจจะติดที่มือของผู้ป่วยซึ่งสัมผัสถูกมือของคนอื่นเชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น และเมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตา หรือแคะจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่ายกายของคนๆ นั้นจนกลายเป็นไข้หวัดได้
ระยะฟักตัว
ระยะตั้งแต่ผู้ป่วยได้รับเชื้อเข้าไปจนกระทั่งมีอาการเกิดขึ้น 1 - 3 วัน
อาการ

ในเดด็กเล็กมักจะพบว่าจับไข้สูงขึ้นมาทันทีทันใด บางครั้งอาจไข้สูงและชักได้ อาจมีอาการท้องเดินหรือถ่ายเป็นมูกร่วมด้วย
ถ้าเป็นอยู่นานเกิน 4 วัน อาจจะมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียว หรือไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว จากการอักเสบของเชื้อแบคทีเรียและอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ซึ่งจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
สิ่งตรวจพบ
- ไข้
- น้ำมูก
- เยื่อจมูกบวมและแดง
- คอแดงเล็กน้อย
- อาจพบต่อมทอนซิลบวมโต แต่ไม่แดงมากและไม่มีหนอง
การลุกลาม
ตามปกติโรคหวัดเริ่มต้นจากความล้า รู้สึกหนาวสะท้าน จามและปวดศีรษะ ตามด้วยอาการน้ำมูกไหลและไอหลายวัน อาการอาจเริ่มขึ้นใน 16 ชั่วโมงนับแต่การสัมผัสและมักมีอาการรุนแรงที่สุด 2 - 4 วันหลังเริ่มมีอาการ โดยปกติอาการจะหายไปเองใน 7 - 10 วัน แต่บางรายสามารถมีอาการได้นานถึง 3 สัปดาห์ 40% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 10 วัน และ 10% ของผู้ป่วยเด็กมีอาการไอนานกว่า 25 วันพยาธิสรีรวิทยา
อาการของโรคหวัดเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันสนองต่อไวรัสเป็นหลัก กลไกการตอบสนองของภูมิคุ้มกันนี้จำเพาะต่อไวรัส ตัวอย่างเช่น ไรโนไวรัสติดต่อผ่านการสัมผัส ตัวเชื้อจะจับกับ ICAM-1 รีเซพเตอร์ของผู้ป่วย (ผ่านกลไกที่ยังไม่ทราบแน่ชัด) แล้วกระตุ้นการปลดปล่อยสารตัวกลางการอักเสบ (inflammatory mediators) จากนั้น สารตัวกลางการอักเสบเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการ โดยตัวไวรัสมิได้ก่อความเสียหายแก่เยื่อบุจมูกแต่อย่างใด ตรงข้ามกับไวรัสเรสไพราทอรีซินไซเตียล (RSV) ซึ่งติดต่อทั้งผ่านการสัมผัสโดยตรงและละอองจากอากาศ ไวรัสจะแบ่งตัวในจมูกและลำคอก่อนจะแพร่กระจายลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่างและทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อเซลล์เยื่อบุ ไวรัสพาราอินฟลูเอนซาส่งผลให้เกิดการอักเสบในจมูก ลำคอและหลอดลม หากเด็กเล็กติดเชื้อเกิดท่อลม (trachea) อักเสบอาจทำให้เกิดอาการของโรคกล่องเสียงอักเสบอุดกั้น (croup) ได้ เพราะทางเดินหายใจมีขนาดเล็กอาการแทรกซ้อน
อาการแทรกซ้อนที่พบบ่อยเกิดจากการอักเสบแทรกซ้อนของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้มีน้ำมูกหริอเสมหะเป็นสีเหลืองหรือเขียว ถ้าลุกลามไปยังบรเวณใกล้เคียง อาจทำให้ต่อมทอนซิลอักเสบ บวมแดงเป็นหนองได้ ,ไซนัสอักเสบ,หูชั้นกลางอักเสบ, หลอดลมอักเสบ, ปอดอักเสบ เป็นต้น
ในเด็กเล็กอาจทำให้มีอาการชักจากไข้สูงได้ ท้องเดิน บางคนอาจมีเสียงแหบเนื่องจากกล่องเสียงอักเสบ บางคนอาจมีอาการวิงเวียน เนื่องจากอวัยวะการทรงตัวภายในหูชั้นในอักเสบ เรียกว่า หวัดลงหู ซึ่งมักจะหายเองภายใน 3 - 5 วัน
โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการพักผ่อน ตรากตรำทำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ ในเด็กทารก หรือ ผู้สูงอายุ
วิธีสังเกตดูอาการเพื่อแยกไข้หวัดออกจากโรคอื่นๆในเด็กเล็กอาจทำให้มีอาการชักจากไข้สูงได้ ท้องเดิน บางคนอาจมีเสียงแหบเนื่องจากกล่องเสียงอักเสบ บางคนอาจมีอาการวิงเวียน เนื่องจากอวัยวะการทรงตัวภายในหูชั้นในอักเสบ เรียกว่า หวัดลงหู ซึ่งมักจะหายเองภายใน 3 - 5 วัน
โรคแทรกซ้อนที่รุนแรงมักเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการพักผ่อน ตรากตรำทำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอ ในเด็กทารก หรือ ผู้สูงอายุ
1) ถ้ามีไข้สูงเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีน้ำมูกไหล และจับไข้ตลอดทั้งคืน ทั้งวัน หน้าแด งตาแดง กินยาลดไข้ก็ไม่ได้ผล อาจเป็นไข้เลือดออก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพบในช่วงหน้าฝน) ควรดื่มน้ำให้มากๆ ทุกวัน นอนพักผ่อนให้เต็มที่ ห้ามกินยาลดไข้ ประเภทแอสไพริน (เช่น ยาแก้ไข้ชนิดซอง ซึ่งมีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ) เพราะถ้าเป็นไข้เลือดออกจริง อาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ เพื่อลดไข้ ยาแก้ไข้ถ้าจำเป็นให้เลือกใช้พาราเซตามอล
ทางที่ดีควรปรึกษาหมอที่อยู่ใกล้บ้าน ภายใน 1-2 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นอาการร้ายแรง
2) ถ้ามีอาการเจ็บคอมาก ควรอ้าปากใช้ไฟฉายส่องดูคอ ถ้าพบว่าต่อมทอนซิลโตแดง หรือเป็นหนองแสดงว่าต่อมทอนซิลอักเสบ ควรไปหาหมอ หมอจะให้ยาลดไข้และยาปฏิชีวนะ เช่น เพนวี (ผู้ใหญ่ใช้ชนิด 4 แสนยูนิต เด็กใช้ชนิด 2 แสนยูนิต) กินวันละ 4 ครั้งๆ ละ 1 เม็ด ก่อนอาหาร สักครึ่งชั่วโมง และก่อนนอน ถ้าแพ้ยานี้ หมอจะให้อีริโทรมัยซินแทน ผู้ใหญ่ครั้งละ 2 แคปซูล เด็กครั้งละ 1 แคปซูลหรือ 1-2 ช้อนชา วันละ 4 ครั้งเช่นเดียวกัน ควรกินยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 10 วัน เพื่อป้องกันมิให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ไข้รูมาติกหรือไตอับเสบ
3) ถ้ามีอาการหอบ หายใจลำบาก หรือเจ็บหน้าอกมาก อาจเป็นปอดอักเสบ ควรไปหาหมอโดยเร็ว ถ้าเป็นมากอาจต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หากชักช้าอาจเป็นอันตรายถึงตายได้
4) ถ้ามีอาการปวดในหู หูอื้อ หรือหูน้ำหนวกไหล อาจเป็นหูอักเสบแทรกซ้อน ควรไปหาหมอ หมอจะให้ยาลดไข้ ยาปฏิชีวนะ (เพนวี หรือ อีริโทรมัยซิน) และยาแก้หวัด ควรกลับไปให้หมอตรวจซ้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้กลายเป็นหูน้ำหนวกเรื้อรังต่อไป
5) ถ้ามีผื่นขึ้นตามตัว หลังมีอาการคล้ายไข้หวัด 3-4 วัน แต่ไข้สูงตลอดเวลา กินยาลดไข้ไม่ได้ผล หน้าแดง ตาแดง อาจเป็นหัด ควรให้ยารักษาแบบไข้หวัด เพราะเป็นโรคในกลุ่มไวรัสเช่นเดียวกัน
6) ถ้ามีอาการแบบไข้หวัด แต่มีไข้สูงและปวดเมื่อยตามตัวมาก อาจเป็นไข้หวัดใหญ่ อาการมักจะรุนแรงจนต้องนอนซมเป็นพักๆ โรคนี้เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นไวรัส การรักษาก็ให้การดูแลรักษาไปตามอาการแบบเดียวกับไข้หวัดธรรมดา เมื่อได้พักผ่อนและกินยาลดไข้ อาการควรจะดีขึ้นภายใน 3-4 วัน ถ้ายังมีไข้สูงติดต่อกันมากกว่า 7 วัน หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น ซีด เหลือง หอบ ชัก มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว อาเจียนมาก ปวดท้องมาก ปวดศีรษะรุนแรง ควรไปหาหมอโดยเร็ว
วิธีการรักษา
ถ้าแน่ใจว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา ไม่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรง เราอาจใช้การรักษาตัวเอง ดังนี้- พักผ่อนให้มากขึ้น อย่าอาบน้ำเย็น ควรดื่มน้ำมากๆ (อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำส้มคั้น น้ำผลไม้ ก็ได้)
- ถ้าเบื่ออาหารให้กินน้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำข้าวต้ม ทีละน้อย แต่บ่อยๆ
- กินยาลดไข้ เช่น แอสไพริน หรือพาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด (เด็กใช้พาราเซตามอล ชนิดน้ำเชื่อมครั้งละ ครึ่ง-2 ช้อนชาตามอายุ) ถ้ายังมีไข้ให้กินซ้ำได้ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง ถ้ามีอาการชวนสงสัยว่าจะเป็นไข้เลือดออก อย่ากินยาแอสไพริน ควรใช้ยาพาราเซตามอล แทน
- ยาแก้หวัดแก้ไอ ถ้าเป็นไม่มาก ไม่ต้องกินก็ได้ ถ้าจะใช้ให้เลือกใช้ ดังนี้
- ในเด็กเล็ก: ให้ยาแก้ไข้แก้หวัด ชนิดน้ำเชื่อม ในขวดเดียวมีตัวยาผสมกันทั้ง 2 อย่าง เช่น ยาแก้หวัดแก้ไอคลอริเอต ยาแก้หวัดแก้ไอไพร์ตอน เป็นต้น ให้กินครั้งละ ครึ่ง-1 ช้อนชา วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหาร เมื่ออาการดีขึ้นก็หยุดได้ หรือถ้ากินแล้วกลับมีอาการไอมากขึ้นก็ควรงดเสีย เพราะยานี้อาจทำให้เสลดในคอเหนียว ขับออกยาก ทำให้ไอมากขึ้นได้
- สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่: ให้กินยาแก้แพ้ได้แก่ คลอร์เฟนิรามีน ครั้งละ ครึ่ง-1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง และยาแก้ไอน้ำดำ จิบครั้งละ ครึ่ง-1 ช้อนชาเวลาไอ ถ้ากินแล้วกลับไอมากขึ้นควรงดเช่นเดียวกัน
- ยาปฏิชีวนะ ไม่มีความจำเป็นในการรักษาไข้หวัดแต่อย่างไร เพราะไม่ได้กำจัดเชื้อหวัด (และไวรัสทุกชนิด) แต่อย่างไรก็ตาม ยานี้จะมีประโยชน์ต่อเมื่อมีเชื้อแบคทีเรียเข้าไปแทรกซ้อนภายหลัง ซึ่งจะสังเกตได้จากน้ำมูกหรือเสมหะที่เคยใสจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว ดังนั้นถ้าพบว่าเป็นหวัด น้ำมูกใส เสมหะขาวไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าน้ำมูกหรือเสมหะเหลืองหรือเขียวจึงค่อยให้ยาปฏิชีวนะ
เมื่อได้รับการดูแลรักษาอย่างเต็มที่ อาการตัวร้อนควรจะหายเป็นปกติ ภายใน 3-4 วัน (อย่างมากไม่เกิน 7 วัน) แต่อาจมีน้ำมูกหรือไอต่อไปอีก 1-2 สัปดาห์ (บางคนอาจไอโครกเป็นเดือน) ถ้าอาการทั่วๆ ไปเป็นปกติดี กินได้น้ำหนักไม่ลด ก็ไม่ต้องตกใจ จะค่อยๆ ดีขึ้นได้เอง

อย่าลืมว่ายาแก้หวัดแก้ไอ อาจทำให้อาการไอเป็นมากขึ้น เพราะทำให้เสลดเหนียวขับออกยาก ดังนั้นถ้ายังไอมากควรงดยาเหล่านี้ แล้วหันไปดื่มน้ำอุ่นมากๆ อาจช่วยให้เสลดออกง่ายขึ้น และอาการไอจะค่อยหายไปได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา
การป้องกัน
- ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก อย่านอนปะปนกับผู้อื่น เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าปิดปากหรือจมูก ไม่หายใจรดผู้อื่น
- อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วย
- ระวังรักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะในเวลาที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง
- อย่างตรากตรำทำงานหนักเกินไป แต่ควรออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรกอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่มีคนแออัด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่
- ไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำเย็นเกินไปโดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีอากาศเย็น
- หมัั่นล้างมือให้สะอาดอยู่บ่อย ๆ อย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
- http://th.wikipedia.org/wiki/โรคหวัด
- http://www.doctor.or.th/article/detail/5925
- ตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หลักการวินิจฉัยและรักษาโรค / 250 โรคและการดูแลรักษา : นายแพทย์สุรเกียรติ อาชานานุภาพ ; ไข้หวัด