ชี พ จ ร

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อชีพจร
- อายุ เมื่ออายุเพิ่มขึ้นอัตราการเต้นของชีพจรจะลดลง ในผู้ใหญ่อัตราการเต้นของชีพจร 60-100 (เฉลี่ย 80 b/m)
- เพศ หลังวัยรุ่น ค่าเฉลี่ยของอัตราการเต้นของชีพจรของผู้ชายจะต่ำกว่าหญิงเล็กน้อย
- การออกกำลังกาย อัตราการเต้นของชีพจรจะเพิ่มขึ้นเมื่อออกกำลังกาย
- ไข้ อัตราการเต้นของชีพจรเพิ่มขึ้น เพื่อปรับตัวให้เข้ากับความดันเลือดที่ต่ำลง ซึ่งเป็นผลมาจากเส้นเลือดส่วนปลายขยายตัวทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น (เพิ่ม metabolic rate)
- ยา ยาบางชนิด ลดอัตราการเต้นของชีพจร เช่น ยาโรคหัวใจ เช่น digitalis ลดอัตราการเต้นของชีพจร(กระตุ้น parasympathetic)
- Hemorrhage การสูญเสียเลือดจะมีผลทำให้เพิ่มการกระตุ้นระบบประสาทซิมพาธิติค ทำให้อัตราการเต้นของชีพจรสูงขึ้น, ในผู้ใหญ่มีเลือดประมาณ 5 ลิตร การสูญเสียเลือดไป <10 li=""> 10>
- ความเครียด เมื่อเครียดจะกระตุ้น sympathetic nervous เพิ่ม การเต้นของชีพจร ความกลัว, ความวิตกกังวล และอาการเจ็บปวด กระตุ้นระบบประสาทซิมพาธิติค
- ท่าทาง เมื่ออยู่ในท่ายืนหรือนั่งชีพจรจะเต้นเพิ่มขึ้น (เร็วขึ้น) ท่านอนชีพจรจะลดลง (ช้า)
กลไกการควบคุมชีพจร
อัตราการเต้นของชีพจรขึ้นอยู่กับระบบประสาทอัตโนมัติ 2 ส่วน คือ1. parasympathetic nervous system ถูกกระตุ้น อัตราการเต้นของชีพจรลดลง
2. sympathetic nervous system ถูกกระตุ้น เพิ่มอัตราการเต้นของชีพจร
สิ่งที่ต้องสังเกตในการจับชีพจร
1. อัตราการเต้นของชีพจร จำนวนครั้งของความรู้สึกที่ได้จากคลื่นบนเส้นเลือดแดงกระทบนิ้วหรือการฟังที่apex ของหัวใจในเวลา 1 นาที หน่วยเป็นครั้งต่อวินาที (bpm)
1.1 อัตราการเต้นของชีพจรปกติอยู่ในช่วง
- ทารกแรกเกิด ถึง 1 เดือน ประมาณ 120-160 bpm
- 1-12 เดือน ประมาณ 80 – 140 bpm
- 12-2 ปี ประมาณ 80 – 130 bpm
- 2 – 6 ปี ประมาณ 75 – 120 bpm
- 6 – 12 ปี ประมาณ 75 – 110 bpm
- วัยรุ่น-วัยผู้ใหญ่ ประมาณ 60 – 100 bpm
- Tachycardia: ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่มากกว่า 100 b/m
- Bradycardia: ภาวะที่อัตราการเต้นของหัวใจในผู้ใหญ่น้อยกว่า 60 b/m
2. จังหวะชีพจร (pulse rhythm) จังหวะและช่วงพักของชีพจร ชีพจรจะเต้นเป็นจังหวะ และมีช่วงพักระหว่างจังหวะ
2.1 จังหวะของชีพจรปกติ จะมีช่วงพักระหว่างจังหวะ เท่ากัน เรียกว่า ชีพจรสม่ำเสมอ (pulse regularis)
2.2 จังหวะของชีพจรผิดปกติ (dysrhythmias , arrhythmia, irregular)
ชีพจรที่เต้นไม่เป็นจังหวะแต่ละช่วงพักไม่สม่ำเสมอ เรียกว่า ชีพจรไม่สม่ำเสมอ หรืออาจจะมีจังหวะการเต้นสม่ำเสมอสลับกับไม่สม่ำเสมอ
ถ้าพบว่า Pt มีจังหวะของชีพจรไม่สม่ำเสมอ
- ประเมิน apical pulse 1 นาที
- ประเมิน apical - radial pulse เพื่อประเมินชีพจรที่ผิดปกติ
- electrocardiogram (EKG)
ปริมาตรของชีพจร วัดเป็นระดับ 0 ถึง 4 ระดับ
- ระดับ 0 ไม่มีชีพจร คลำชีพจรไม่ได้
- ระดับ 1 (thready) คลำชีพจรยาก
- ระดับ 2 weak ชีพจรแรงกว่า threedy pulse คลำชีพจรยาก
- ระดับ 3 ปกติ
- ระดับ 4 bounding pulse ชีพจรเต้นแรง
หรืออาจมี 0 ถึง 3 scale
ความยืดหยุ่นของผนังของหลอดเลือด
ปกติผนังหลอดเลือดจะตรงและเรียบมีความยืดหยุ่นดี ในผู้สูงอายุผนังหลอดเลือดแดงมีความ ยืดหยุ่นน้อยขรุขระ และไม่สม่ำเสมอ
วิธีประเมินชีพจร
Peripheralใช้นิ้วชี้ กลาง นาง วางตรงตำแหน่งเส้นเลือดแดง กดแรงพอประมาณ ให้ความรู้สึกของการขยายและหดตัวของผนังหลอดเลือดได้ ไม่ใช้นิ้วหัวแม่มือสัมผัส เพราะ หลอดเลือดที่นิ้วหัวแม่มือเต้นแรง อาจทำให้สับสนกับชีพจรของตนเองได้
Apical
- ฟังด้วยหูฟัง (stethoscope)
- ใช้ doppler ultrasound
- electrocardiogram (EKG)
ตำแหน่งชีพจร
1. Peripheral
1.1 Temporal Pulse เส้นเลือดเท็มพอรัสทอดผ่านเหนือกระดูก เท็มพอรัลของศีรษะ

1.3 Brachial Pulse อยู่ด้านในของกล้ามเนื้อ biceps ของแขน
1.4 Radial Pulse อยู่ข้อมือด้านในบริเวณกระดูกปลายแขนด้านนอกหรือด้านหัวแม่มือ เป็นตำแหน่งที่นิยมจับชีพจรมากที่สุด เพราะเป็นที่ที่จับได้ง่ายและไม่รบกวนผู้ป่วย
1.5 Femoral Pulse อยู่บริเวณขาหนีบ
1.6 Popliteal Pulse อยู่บริเวณข้อพับเข่า อยู่ตรงกลางข้อพับเข่า, หาค่อนข้างยาก แต่ถ้างอเข่าก็สามารถคลำได้ง่ายขึ้น
1.7 Posterior tibial Pulse อยู่บริเวณหลังปุ่มกระดูกข้อเท้าด้านใน
1.8 Dorsalis pedis Pulse อยู่บริเวณหลังเท้าให้ดูตามแนวกลางตั้งแต่หัวเข่าลงไป ชีพจรที่จับได้จะอยู่กลางหลังเท้าระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้
2. Apical pulse
ฟังที่ยอดหัวใจ (Apex) ในผู้ใหญ่จะอยู่ที่ 5th intercostal space, left mid clavicular line
ข้อควรจำในการวัดชีพจร
1. ไม่ใช้นิ้วหัวแม่มือคลำชีพจร เพราะหลอดเลือดที่นิ้วหัวแม่มือเต้นแรงอาจทำให้สับสนกับชีพจรของตนเอง2. ไม่ควรวัดชีพจรหลังผู้ป่วยมีกิจกรรม ควรให้พัก 5-10 นาที
3. อธิบายผู้ป่วยว่าไม่ควรพูดขณะวัดชีพจร เพราะจะรบกวนการได้ยินเสียงชีพจรและอาจทำให้สับสน
ระดับชีพจรขณะพักผ่อน (Resting heart rate) จะเป็นตัวกำหนดความหนักเบาการออกกำลังกายของเรา การที่เรามีสุขภาพที่ดี พักผ่อนเพียงพอ รับประทานอาหารอย่างถูกสุขอนามัย จะช่วยให้ระบบสูบฉีดโลหิตภายในร่างกายของเราทำงานได้ดี
วิธีหาค่าชีพจรขณะพักผ่อนทำได้โดยการวัดค่าชีพจรหลังจากตื่นนอนทันทีก่อนจะลุกออกจากเตียง ทำติดต่อกัน 5วัน เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ย (นำมาหาร 5) เพื่อให้ได้ค่าที่ใกล้เคียงที่สุด หรือ เราสามารถใช้ Polar OwnZone ได้ในบางรุ่น เพื่อหาค่านี้ได้อัตโนมัติ
ระดับชีพจรสูงที่สุด (Max HR) คือ จำนวนครั้งการเต้นของหัวใจในหนึ่งนาที ซึ่งระดับการเต้นสูงสุดของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน วิธีที่แม่นยำที่สุดในการหาค่านี้คือต้องไปพบแพทย์เพื่อทำเทสกันเลยทีเดียว แต่ถ้ามันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เราสามารถใช้สูตรง่ายๆที่ใกล้เคียงระดับของคนทั่วไปมากที่สุดคือ
- ผู้หญิง: 226 - อายุ = ระดับชีพจรสูงสุด
- ผู้ชาย: 220 - อายุ = ระดับชีพจรสูงสุด
สูตร: ระดับชีพจรสูงสุด - ระดับชีพจรขณะพักผ่อน = ค่าชีพจรปกติของตัวเรา เช่น 195 - 58 = 137
วิธีคำนวนระดับชีพจร In-zone
สูตร: ค่าชีพจรปกติของตัวเรา x เปอร์เซ็นเป้าหมายในโซน + ระดับชีพจรขณะพักผ่อน = ระดับชีพจร In-zone เช่น 137 x .60 = 82 + 58 = 140