ขอต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดียิ่ง
ความดันโลหิต หรือ ความดันเลือด หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ (คล้ายแรงลมที่ดันผนังยางรถเวลาสูบลมเข้า) ซึ่งสามารถวัดโดยใช้ เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดความดัน (Sphygmomano meter) ความดันในหลอดเลือดเมื่อหัวใจบีบตัวสูบฉีดเลือดเข้าสู่หลอดเลือด ซึ่งเรียกว่า ความดันโลหิต ซีสโตลิค (Systolic blood pressure) และเมื่อหัวใจพักคลายตัว ซึ่งเรียกว่า ความดันโลหิตไดแอสโตลิค (Diastolic blood pressure) ดังนั้น การรายงานผลความดันโลหิต จึงประกอบด้วยตัวเลข 2 ตัวเสมอ โดยจะบันทึกความดันซีสโตลิกเป็นตัวแรก หรือ ตัวบน ส่วนความดันไดแอสโตลิก จะบันทึกเป็นตัวตาม หรือ ตัวล่าง เช่น วัดความดันโลหิตได้ 120/80 หมายความว่า ความดันซีสโตลิค คือ 120 ส่วนความดันไดแอสโตลิค คือ 80
  1. ความดันช่วงบน หรือความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดขณะที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะ สูงตามอายุ ความดันช่วงบนในคน ๆ เดียวกันอาจมีค่าแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ตามท่าของร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ และปริมาณของการออกกำลัง
  2. ความดันช่วงล่าง หรือความดันไดแอสโตลี (Diastolic blood pressure ) หมายถึง แรงดันเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว ในปัจจุบัน ได้มีการกำหนดค่าความดันโลหิต และระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป (โดยการวัดในท่านั่ง วัดอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป แล้วคิดเป็นค่าเฉลี่ย)
หน่วยวัดความดันโลหิต คือ มิลลิเมตรปรอท (มม. ปรอท) ทั้งนี้เพราะเครื่องวัดความดันโลหิตที่ใช้ในระยะแรกก่อนมีเครื่องชนิดอัตโนมัติ (Automatic blood pressure monitor) วัดจากความดันเลือดที่สามารถดันสารปรอทให้เคลื่อนที่ได้สูงกี่มิลลิเมตร

การวัดความดันโลหิต 

โดยทั่วไป วัดที่แขน วัดได้ทั้งแขนซ้าย หรือ แขนขวา ซึ่งให้ค่าความดันโลหิตได้เท่ากัน ยกเว้น เมื่อมีโรคของหลอดเลือดแขน ตีบ (พบได้น้อยมากๆ) ทั้งนี้การวัดความดันฯวัดได้ทั้งในท่านอนหงาย หรือ ท่านั่ง และควรพักอย่างน้อย 5-10 นาทีก่อนวัดความดัน เพราะการออกแรงจะส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

ในภาวะทั่วไป ที่ไม่ใช่โรคความดันโลหิตสูง แต่สามารถส่งผลให้ความดันฯสูงขึ้นได้ ที่พบบ่อย คือ การออกกำลังกาย การเคลื่อนไหว อาการไข้ ยาบางชนิด เช่น ยาไทรอยด์ฮอร์โมน อารมณ์/จิตใจ (เครียด โกรธ กังวล) กินอาหารเค็ม นอกจากนั้น คือ ช่วงกลางวันความดันฯจะสูงกว่าช่วงนอนพักและช่วงกลางคืน และผู้ใหญ่ ความดันฯจะสูงกว่าเด็ก

ความดันโลหิต จัดเป็น หนึ่งในสัญญาณชีพที่สำคัญ (ความดันโลหิต อัตราการหายใจ ชีพจร และอุณหภูมิของร่างกาย) ซึ่งสามารถบอกถึงสุขภาพ และโรคต่างๆได้ โดยเฉพาะเป็นความสำคัญเบื้องต้นที่บอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การทำงานของหัวใจ และ โรคหัวใจ

Photo by The Nok 

ปัจจัยที่มีผลต่อความดันโลหิต

1. อายุ ทารกแรกเกิดจะมีความดันซิสตอลลิด เฉลี่ย 78 mm .Hg ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นตามอายุ และเริ่มสูงจนปกติในวัยผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ความดันโลหิตเฉลี่ย 120/80mm.Hg ผู้สูงอายุความดันโลหิตจะสูงขึ้น เนื่องจากความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลง

2. เพศ ตั้งแต่วัยรุ่น เพศหญิงจะมีความดันโลหิตต่ำกว่าเพศชาย ในช่วงอายุเดียวกัน เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หลังวัยหมดประจำเดือน (Menopause) เพศหญิงโดยทั่วไปจะมีความดันโลหิตสูงกว่าก่อนและสูงกว่าเพศชาย

3. ความเครียด อารมณ์ความเครียด, ความกังวล, ความกลัว, ความเจ็บปวด จะไปกระตุ้นระบบประสาท ซิมพาธิติก ทำให้เพิ่ม cardiac output และ vasoconstriction ของหลอดเลือด ส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น แต่อาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็อาจทำให้ความดันโลหิตลดลงได้

4. ยา ยาบางชนิดมีผลต่อความดันโลหิต ยาที่มีผลต่อการหดรัดตัวของหลอดเลือดจะทำให้ BP สูงขึ้น ยาที่ขยายหลอดเลือดจะทำให้ความดันโลหิตต่ำ

5. ช่วงเวลาแต่ละวัน ช่วงเช้าความดันโลหิตอาจลดลง เนื่องจากอัตราการเผาผลาญภายในเซลล์ (Metabolic rate) ลดลง และเพิ่มขึ้นตลอดวันจนสูงสุดช่วงบ่ายหรือตอนเย็น และต่ำลงในตอนกลางคืน

6. การออกกำลังกาย เป็นการเพิ่มจำนวนเลือดซึ่งถูกฉีดออกจากหัวใจ (cardiac output) ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ดังนั้นต้องให้ผู้ป่วยพัก 20-30 นาทีหลังจากออกกำลังกายมา

7. ความอ้วน คนอ้วนความดันโลหิตสูงกว่าคนผอม

8. ท่าทาง ความดันโลหิตที่วัดในท่ายืนจะสูงสุด รองลงมาคือ ท่านั่ง และท่านอน ตามลำดับ เนื่องจากเลือดไหลเวียนได้สะดวกในท่ายืนนอกจากนั้น 

ทุกๆคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว อาจเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 18 หรือ 20 ปี ควรตรวจสุขภาพวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อคัดกรองโรคความดันโลหิตสูง และเมื่อพบเริ่มมีแนวโน้มที่จะมีความดันโลหิตสูง แพทย์ พยาบาลจะได้แนะนำการดูแลตนเอง หรือวินิจฉัยหาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง เพื่อการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงและเพื่อรักษาควบคุมโรคที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านั้นแต่เนิ่นๆ เพื่อผลการรักษาควบคุมโรคได้ดีกว่าเมื่อตรวจพบหลังจากมีอาการผิดปกติแล้ว

ระดับความดันโลหิต

ความดันโลหิตปกติ คือ 90-119/60-79 มม.ปรอท
ความดันโลหิตในผู้มีแนวโน้มจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง คือ 120-139/80-89 มม.ปรอท
โรคความดันโลหิตสูงระยะ 1 คือ ความดันโลหิตอยู่ในช่วง 140-159/90-99 มม.ปรอท
โรคความดันโลหิตสูงระยะ 2 คือ ความดันโลหิตอยู่ในช่วง ตั้งแต่ 160/100 มม.ปรอทขึ้นไป
โรคความดันโลหิตสูงที่ต้องพบแพทย์ใน 24 ชั่วโมง คือ ความดันโลหิตสูง ตั้งแต่ 180/110 มม.ปรอทเป็นต้นไป เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ อาจจากโรคหัวใจ สมอง และ/หรือ ไต ล้มเหลว
โรคความดันโลหิตสูงที่ต้องพบแพทย์ฉุกเฉิน คือ ความดันโลหิตสูงตั้งแต่ 220/140 มม.ปรอทขึ้นไป เพราะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จากการทำงานล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ สมอง และไต

อนึ่ง ความดันโลหิตสูง วินิจฉัยจากความดันโลหิตตัวใดตัวหนึ่ง หรือทั้งสองตัวขึ้นสูงกว่าปกติ ทั้งนี้เมื่อวัดความดันฯผิดปกติ ให้วัดซ้ำอีกครั้ง ห่างกันประมาณ 5 นาทีหลังพักประมาณ 5-10 นาที ถ้าค่าการวัดยังผิดปกติ จึงจะถือว่าความดันฯ ผิดปกติจริง

กลไกการควบคุมความดันโลหิต

1. Peripheral resistance ความต้านทานของหลอดเลือด
ความต้านทานของหลอดเลือดขึ้นอยู่กับ ขนาดของหลอดเลือดฝอย ถ้าหลอดเลือดแดงรอง (arteries, arterioles)รอบ ๆ หลอดเลือดฝอยหดรัดตัวหลอดเลือดฝอยมีขนาดเล็กลง, ความต้านทานของหลอดเลือดจะเพิ่มขึ้นทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
2. Cardiac output (จำนวนเลือดที่ออกจากหัวใจ)

เป็นจำนวนที่ถูกฉีดออกจากหัวใจ ใน 1 นาที
CO = HR x SV

หัวใจห้องล่างซ้ายพักหรือคลายตัว จะมีเลือดผ่านออกประมาณ 70 ml, ใน 1 นาที จะบีบตัวประมาณ 70 ครั้ง จึงทำให้มีเลือดออกจากหัวใจนาทีละ CO = 70 x 70 = 4,900 ml หรือ 5 ลิตร/นาที
BP = CO x R

เมื่อ CO เพิ่มขึ้น BP เพิ่มขึ้น, ถ้า CO ลดลง จำนวนเลือดที่ถูกฉีดออกมาจากหัวใจน้อย ทำให้ BP ต่ำลง

3. blood volume (ปริมาณเลือด) ปริมาณเลือด ในระบบการไหลเวียนของเลือด
  • ปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น เช่น การให้เลือดทดแทนอย่างรวดเร็วทำให้ BPสูงขึ้น (เนื่องจากมีแรงดันเลือดมากขึ้นไปกระทบผนังหลอดเลือด)
  • ปริมาณเลือดลดลง เช่น ภาวะตกเลือดหรือภาวะขาดน้ำทำให้ BP ลดลง
4. ความหนืดของเลือด (viscosity of blood) ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด เช่น ค่า Hematocrit (Hct) สูง เลือดจะมีความหนืดมาก หัวใจต้องใช้แรงสูบฉีดเลือดมาก เพื่อให้เลือดที่มีความหนืดสูงไหลผ่านไปยังหลอดเลือดฝอย ทำให้ BP สูงขึ้น
ค่า Hct ต่ำ เลือดจะมีความหนืดน้อย หัวใจใช้แรงน้อยในการสูบฉีดเลือดที่มีความหนืดผ่านไปยังหลอดเลือดฝอย ทำให้ BP ต่ำลง

5. ความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดแดง (elasticity of vessel walls) ความสามารถของหลอดเลือดแดงในการยืดและหดตัว
  • เมื่อความยืดหยุ่นของหลอดเลือดลดลงจะทำให้หลอดเลือดแข็ง ความต้านการไหลเวียนเลือดจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ BP เพิ่มขึ้น
  • เมื่อความยืดหยุ่นหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ความต้านทานการไหลเวียนเลือดจะลดลง ทำให้ BP ลดลง
ภาวะความดันโลหิตผิดปกติ
  1. ความดันโลหิตสูง (Hypertension) – ความดันสูงกว่าปกติ systolic สูงกว่า 140 mm .Hg, diastolic สูงกว่า 90 mm.Hg. อาจมีอาการ ปวดศีรษะ บริเวณท้ายทอย ตาพร่า หรือมองไม่เห็น คลื่นไส้ อาเจียน ชักและหมดสติในที่สุด
  2. ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension) ความดันลดต่ำลงกว่าปกติ systolic ต่ำกว่า 90 mm .Hg, diastolic ต่ำกว่า60 mm.Hg อาการ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หน้าซีด เหงื่อออก ตัวเย็น เป็นลมหมดสติ
Orthostatic Hypotension ความดันตกในท่ายืน
ความดันโลหิตลดลงต่ำกว่าปกติ สัมพันธ์กับอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด, วิงเวียนเป็นลม (faint) เมื่อลุกขึ้นยืน การเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่ายืนทันที มีผลทำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงทันที เกิดจากหลอดเลือดส่วนปลายขยาย แต่ไม่มีกลไกการปรับตัวเพิ่มขึ้นของจำนวนเลือดที่ออกจากหัวใจ ควรแนะนำการเปลี่ยนท่าช้าๆ

วิธีวัดความดัน

  • วัดโดยตรง directly (invasive) การใส่สายสวนเล็ก ๆ เข้าไปในหลอดเลือดแดง
  • วัดโดยอ้อม indirectly (non-invasive) 
  • การฟัง
  • อุปกรณ์เครื่องใช้
- stethoscope หูฟัง
- sphygmomanometer เครื่องวัดความดัน มี 2 แบบ
  1. เครื่องมือวัด BP แบบใช้ปรอท
  2. เครื่องมือวัด BP แบบที่ไม่ใช้ปรอท นิยมใช้มีหน้าปัดบอกจำนวน
ตำแหน่งที่ใช้วัดความดัน
  • Brachial
  • Popliteal
วัดโดยการคลำ
Doppler ultrasound
electronic blood pressure meters

เสียงที่ได้ยิน korotkoff sounds
  • เสียงที่ได้ยินครั้งแรกเรียกว่า ความดัน systolic (จุดที่หัวใจห้องล่างด้านซ้ายหดรัดตัวฉีดเลือด)
  • เสียงที่เงียบหายไป เป็นจุดแสดงความดัน diastolic (ความดันในหลอดเลือดแดงในขณะที่หัวใจห้องล่างด้านซ้ายพัก)
ข้อผิดพลาดในการวัดความดันโลหิต

สาเหตุ
ค่าที่อ่านได้
1. cuff มีขนาดกว้าง
2. cuff มีขนาดแคบ
3. พัน cuff หลวม
4. ปล่อยลมออกจาก cuff ช้าไป
5. ปล่อยลมออกจาก cuff เร็วไป
BP ต่ำ
BP สูง
BP สูง
Diastolic สูง
Systolic ต่ำ / Diastolic สูง

BACK

<<<< สัญญาณชีพและการประเมินเบื้องต้น>>>>>